หลายคนอาจไม่ทันได้คิดว่าอุบัติเหตุเล็กๆ อย่างการขับรถชนเสาไฟฟ้าเพียงต้นเดียว จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาทได้จริงๆ เพราะนอกจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของผู้ขับขี่แล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายจากทรัพย์สินสาธารณะที่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
ค่าเสียหายโดยประมาณจากเสาไฟฟ้า
- เสาไฟฟ้าแรงต่ำ อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 30,000 บาทต่อหนึ่งต้น
- เสาไฟฟ้าแรงกลาง อยู่ที่ราว 30,000 – 100,000 บาทต่อหนึ่งต้น
- เสาไฟฟ้าแรงสูงหรือเสาพิเศษ ที่มาพร้อมอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติม ค่าเสียหายอาจทะยานไปถึงหลายแสนหรือหลักล้านบาท
ไม่ได้เสียหายแค่ตัวเสา
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เสาไฟฟ้า แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์และระบบอื่นๆ ที่ติดตั้งอยู่ด้วย เช่น
- หม้อแปลงไฟฟ้า ราคาประมาณ 200,000 – 500,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภท
- สายไฟฟ้าแรงสูงและแรงต่ำ
- สายสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์
- ค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนเสาเดิม
- ค่าแรงและอุปกรณ์ประกอบสำหรับติดตั้งเสาใหม่
เมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว การชนเสาไฟฟ้าเพียงต้นเดียวอาจสร้างความเสียหายมากกว่า 1,000,000 บาท โดยเฉพาะถ้ามีหม้อแปลงและระบบสื่อสารติดตั้งอยู่
ปัจจัยที่ทำให้ค่าเสียหายต่างกัน
- แรงดันไฟฟ้า ของเสาที่ชน ไม่ว่าจะเป็นแรงต่ำ แรงกลาง หรือแรงสูง
- อุปกรณ์เสริม ที่ติดตั้งบนเสา เช่น หม้อแปลงหรืออุปกรณ์สื่อสาร
- สถานที่เกิดเหตุ หากอยู่ในย่านเมืองหรือโรงงาน ค่าเสียหายยิ่งสูงขึ้น
- ผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าโดยรวม เช่น การไฟดับในพื้นที่กว้างหรือระบบสื่อสารล่ม
สิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดเหตุการณ์
- ตั้งสติและตรวจสอบความปลอดภัย โดยเฉพาะหากมีสายไฟขาด ห้ามแตะหรือเคลื่อนย้ายรถเอง
- แจ้งตำรวจเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย
- ติดต่อหน่วยงานไฟฟ้าในพื้นที่ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
- แจ้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ หากมีกรมธรรม์ที่ครอบคลุม จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้
สรุป
การขับรถชนเสาไฟฟ้าไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กน้อย เพราะค่าเสียหายที่ตามมาอาจสูงเกินกว่าที่คาดไว้หลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมเสาไฟฟ้า หม้อแปลง ระบบไฟ และสื่อสาร การมีสติในการขับขี่และเพิ่มความระมัดระวังทุกครั้งบนท้องถนน จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมหาศาลเหล่านี้



